วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

16.เมื่อคุณคิดที่จะเลือกเรียนเกี่ยวกับช่างสำรวจ

เมื่อคุณคิดที่จะเลือกเรียนเกี่ยวกับช่างสำรวจ 
 
 ช่างสำรวจ Surveyor
 ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ ผู้ควบคุมและทำการสำรวจพื้นดินและท้องน้ำ เพื่องานทำแผนที่หรือแผนภูมิงานก่อสร้าง งานเหมืองแร่ หรือเพื่องานอื่นๆ โดยการกำหนดสถานที่ตั้ง และวาดภาพแสดงลักษณะภูมิประเทศรวมถึงการสำรวจบริเวณพื้นดินและท้องน้ำ การสำรวจบริเวณทะเล และเหมืองแร่ และการสำรวจประเภทอื่นๆ เป็นผู้ช่วยนักสำรวจเกี่ยวกับการใช้ และดูแลรักษาเครื่องมือต่างๆ ในขณะปฏิบัติงาน ช่วยแปลข้อมูลที่ได้จากงานสนาม และทำงานอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน
ลักษณะของงานที่ทำ
1. ควบคุม และทำการสำรวจพื้นดิน และท้องน้ำ เพื่อการทำแผนที่หรือแผนภูมิ งานก่อสร้าง งานเหมืองแร่ หรืองานอื่นๆ โดยกำหนดสถานที่ตั้ง
2. วาดภาพแสดงลักษณะภูมิประเทศ ตรวจสอบบันทึก แผนที่ แผนผัง โฉนด และเอกสารที่เกี่ยวข้องตลอดจนทำการคำนวณเบื้องต้น ซึ่งจำเป็นสำหรับงานสำรวจ
3. ตรวจสอบ และปรับกล้องรังวัด หรือกล้องทำแผนที่เข็มทิศ โต๊ะสำรวจ และเครื่องมือสำรวจอื่นๆ
4. สำรวจ และสั่งงานผู้ช่วย เพื่อให้การปฏิบัติงานตรงตามสถานที่ที่กำหนด และเพื่อความแน่นอนเกี่ยวกับการวัดระหว่างจุดต่างๆ ความสูงชัน เส้นและมุม ความสูงต่ำของพื้นดิน และข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นผิวดิน พื้นที่ใต้ดิน และพื้นที่ใต้ท้องน้ำ
5. ทำการคำนวณเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสิ่งที่วัดได้
6. บันทึกการใช้มาตรการต่างๆ และการคำนวณ รวมทั้งการเขียนแบบร่างพื้นที่บริเวณที่ทำการสำรวจ
7. จัดทำแบบวาดโดยละเอียด และทำรายงาน      
สภาพการจ้างงาน
ช่างสำรวจที่สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ที่ไม่มีประสบการณ์จะได้รับเงินเดือนโดยประมาณดังนี้
วุฒิการศึกษา
เงินเดือน
 
ราชการ
เอกชน
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ4,7004,500-5,500
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง5,7405,500-6,500
       สำหรับงานเอกชนนั้น อัตราเงินเดือนขึ้นอยู่กับความสามารถ ความชำนาญงาน และวุฒิการศึกษาของแต่ละบุคคล นอกเหนือจากเงินเดือน และค่าจ้างประจำแล้ว อาจได้รับผลประโยชน์พิเศษอย่างอื่นในรูปของสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร โบนัส บำเหน็จ บำนาญ
       ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง อาจจะต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด หรือต้องทำงานล่วงเวลา ในกรณีที่ต้องการให้งานติดตั้งหรือซ่อมบำรุงเครื่องจักรให้ทันการใช้งาน .
สภาพการทำงาน
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ทำงานทั้งใน และนอกสถานที่ทำงานในการสำรวจสภาพสถานที่ที่ ได้รับมอบหมายให้ทำการสำรวจ อาจต้องปีนป่ายในที่สูงหรือบุกป่าฝ่าดง ทำงานตากแดดหรือฝน ต้องแบกอุปกรณ์ในการสำรวจ เช่น กล้องรังวัด เข็มทิศ ต้องคิดคำนวณ สภาพการทำงานหนักปานกลาง ต้องใช้ ความอดทนต่อสภาพความร้อน และบางโอกาสทำงานตามลำพัง ต้องใช้ความระมัดระวัง และรอบคอบสูงพอสมควร เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน และบางครั้งต้องทำงานเกินเวลาต้องปฏิบัติงานทั้งในสำนักงาน และกลางแจ้ง รวมทั้งอาจจะต้องประสานงานกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่องานการสำรวจ
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ มีดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
2. มีร่างกายแข็งแรง สามารถทำงานหนักได้
3. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบการคิดคำนวณ และงานทดลอง
4. มีความเป็นผู้นำ มีมนุษยสัมพันธ์ดี   
5. มีความเชื่อมั่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
6. มีความละเอียดรอบคอบ ชอบการบันทึก
7. สามารถวิเคราะห์ และตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงานได้
       ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้คือ: ผู้สนใจประกอบอาชีพนี้ในระดับช่างฝีมือต้องสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) สาขาวิชาช่างสำรวจจากสถานศึกษาสังกัดกรม อาชีวศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือ
       สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาช่างสำรวจจากสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา หรือสาขาวิชาช่างกลโรงงานจากสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลสำหรับผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และเข้ารับการฝึกในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเป็นเวลา 10 เดือน และส่งไปฝึกงานในสถานประกอบการ 4 เดือน รวมระยะเวลาฝึกทั้งหมด 14 เดือน จึงจะได้รับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) แนวการฝึกเน้นภาคปฏิบัติ 70% ความรู้ความสามารถที่ จำเป็น ได้แก่ อ่านแบบ เขียนแบบก่อสร้าง เทคนิคการก่อสร้าง อาคารขนาดเล็ก การสำรวจรังวัด หลักการบริหารงานก่อสร้าง การประมาณราคาและการปฏิบัติงานควบคุมงานก่อสร้างทั้งในห้องเรียน โรงฝึกงานและออกฝึกในสถานการณ์จริงบริเวณสถานที่ก่อสร้าง
     
โอกาสในการมีงานทำ
สำหรับแหล่งจ้างงานช่างสำรวจโดยทั่วไป ได้แก่ สถานประกอบกิจการอุตสาหกรรม หรือหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ถึงแม้ว่าภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังประสบปัญหาอยู่ทำให้การลงทุนเพื่อขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมชะงักไป แต่ความต้องการแรงงานทางด้านช่างสำรวจยังคงมีอยู่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากยังมีงานที่ต้องการช่างสำรวจอีกมาก เช่น โครงการสร้างถนน หรือสาธารณูปโภคอื่นๆ รวมทั้งงานการก่อสร้างอาคารต่างๆ ที่ต่อเนื่องมาจากการชะงักในช่วงภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ
       เมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นกว่านี้ ภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาจะกลับฟื้นตัว และขยายการลงทุนขึ้นอีก ฉะนั้น งานช่างสำรวจก็ยิ่งกลับมาเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานอีกมากขึ้นตามอัตราการขยายตัวของสถานประกอบกิจการอุตสาหกรรม
  
  
   โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพช่างสำรวจที่มีประสบการณ์และความชำนาญ จะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปจนถึงระดับหัวหน้างาน และสำหรับผู้ที่สนใจที่จะศึกษาต่อเพื่อปรับ วิทยฐานะให้สูงขึ้น เพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพต่อไป มีแนวทางในการศึกษาต่อ ดังนี้
       ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตร 2 ปี ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือหรือ ระดับปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถานศึกษาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นต้น
       ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ศึกษาต่อ ระดับปริญญาตรี ต่อเนื่อง 3-4 ปีครึ่ง สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือระดับปริญญาตรีต่อเนื่อง 2-3 ปี สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในสถานศึกษาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล

15.เครื่องมือช่าง

เครื่องมือช่างพื้นฐานของเครื่องมือช่างปูนสำหรับงานก่อฉาบ และงาน D.I.Y

เครื่องมือช่างพื้นฐานสำหรับงานงานปูนก่อนฉาย หรืองาน D.I.Yง่ายๆทั่วๆมีไม่กี่ชนิดที่จำเป็น โดยทั่วไปแล้วเราต้องทราบลักษณะงานก่อนว่าเราจะใช้ทำงานอะไรบ้างถ้าใช้ในงานซ่อมแซมทั่วๆไป เช่นฉาบผนังนิดหน่อยก็ใช้แค่เกียง แต่ถ้าจะใช้ในงานเทพื้นผสมปูนก็ต้องใช้อย่างอื่นด้วย และอุปกรณ์งานปูนพวกนี้มีไว้ก็ไม่ได้เสียหาย เพราะราคาถูก และของบางอย่างสาสารถใช้ร่วมกับงานอื่นได้ด้วย

อุปกรณ์งานปูนพื้นฐานที่ควรมีติดบ้าน

งานปูนเป็นงานก่อสร้างพื้นฐานโดยส่วนใหญ่เครื่องมือช่างพื้นฐานของของปูนจะมีอยู่ไม่กี่ชนิดซึ่งการมีเก็บไว้ติดบ้านนั้นก็ถือว่าที่ดี และราคาอุปกรณ์งานปูนที่จำเป็นก็ราคาไม่สูงมากนัก เราลองมาดูว่าอุปกรณ์งานปูนนั้นมีอะไรบ้าง
1.เกรียงไม้ หรือเกรียงพลาสติก
เกรียงไม้ หรือเกียงพลาสติก เป็นอุปกรณ์งานปูนที่จำเป็นที่สุดเพราะต้องใช้ในการฉาบปูน ถ้าใช้เกรียงไม้ก็ควรแช่น้ำก่อนซักแป๊บ ราคาเกรียงก็ไม่กี่สิบบาท
2.เกรียงเหล็ก
เกรียงเหล็กจะใช้สำหรับงานก่อ เช่นใช้ก่ออิฐ และตกแต่งงานก่อ
สำหรับงานเล็กๆที่ใช้ในการซ่อมแซมบ้านนิดหน่อยก็มีประมาณนี้ แต่ถ้าจะเพิ่มเติมเครื่องมือช่างปูนที่เป็นพวกเทพื้น หรือผสมปูนเยอะหน่อยก็จะมี
3.ถังผสมปูน หรืออ่างผสมปูน
ถังผสมปูน หรืออ่างผสมปูน จะใช้สำหรับผสมปูนในปริมาณที่มากๆ ถังผสมปูนใบใหญ่จะใส่ปูนได้ 1ลูก ราคาของถุงผสมปูนจะตกอยู่ราวๆ ไม่เกินพันบาทถ้าไม่ใช้ผสมปูนก็ใช้ใส่น้ำได้ หรือช่วงน้ำท่วมปี 54 ก็มีคนใช้ถังผสมปูนมาทำเป็นเรือก็มี
4.จอบ และพลั่ว
จอบจะใช้ผสมปูน ส่วนพลั่วจะใช้ตักหิน และทรายมาใส่ถังผสมปูน นอกจากนี้จอบยังใช้ขุดดิน หรือถางหญ้าได้ด้วย
5.สามเหลี่ยมฉาบปูน หรือสามเหลี่ยมปาดปูน
สามเหลี่ยมฉาบปูน หรือสามเหลี่ยมปาดปูนจะใช้ในการฉาบผนัง หรือกำแพง โดยจะใช้ฉาบให้เรียบไม่ใช่ขัดมันนะครับ นอกจากนั้นยังใช้ในการจับเซี่ยมขอบปูนอีกด้วย เครื่องมือช่างปูนชนิดนี้จะขาดไม่ได้เลยสำหรับช่างปูนมืออาชีพ
6.เกรียงเหล็กขัดมัน
ลักษณะเกรียงเหล็กขัดมันจะเป็น4เหลี่ยมใช้สำหรับงานขัดมันพื้น หรือขัดมันผนัง การทำงานขัดมันต้องมีความชำนาญในระดับหนึ่งไม่งั้นงานออกมาไม่ดี หรือร้าวภายหลัง
7.ถังน้ำขนาดเล็ก
ถังน้ำขนาดเล็กจะใช้ตักน้ำผสมปูน หรือใช้ตักปูนที่ผสมแล้วมาใช้งาน โดยจะเป็นถังพลาสติกใบเล็กๆที่มีหูหิ้ว
เครื่องมือช่างปูนพื้นฐานนอกเหนือจากนี้ก็เป็นอุปกรณ์ในการช่วยงาน เช่น ตลับเมตร,ลูกดิ่ง,เต้า,ปรอทน้ำ,ค้อน,เอ็น และอื่นๆ

เทคนิคการผสมปูนสำหรับงานก่อฉาบเบื้องต้น

การก่อฉาบ หรือเทพื้นจะใช้วัตถุดิบก็คือ ปูน,ทราย และหิน โดยจะมีส่วนผสมของวัตุดิบต่างกันตามการใช้งาน การก่อหรือฉาบอิฐมอน หรืออิฐบล็อคจะใช้ปูนเขียวทั่วๆไป แต่ถ้าเป็นอิฐมวลเบาก็ใช้ปูนสำหรับอิฐมวลเบาโดยเฉพาะ
งานฉาบจะมีปูน และทรายละเอียดโดยมีอัตตราการผสม (1:3)
งานก่อจะมีปูน และทรายหยาบ โดยมีอัตตราการผสม (1:3) เมื่อเติมน้ำไปโดยอย่าให้ปูนเหลวมาก สามารถตักมาได้แบบหนืดๆ
งานเทพื้นจะมีปูน,ทรายหยาบ และหินกรวด โดยมีอัตตราการผสม (1:2:3 หรือ 1:2:4)ก็ได้
**การผสมปูนมาใช้งานเมื่อผสมแูนกับทรายแล้วควรมีการเติมน้ำและทิ้งไว้ซักครู่เพื่อบ่มปูนให้ก่อตัวครั้งแรก(Initial Setting Time)ก่อนใช้งาน
 
 
เครื่องมือช่างปูน,อุปกรณ์งานปูน
เครื่องมือช่างปูน หรืออุปกรณ์งานปูน
เครื่องมือช่างพื้นฐาน,เครื่องมือช่างปูน
การใช้เครื่องมือช่างพื้นฐาน หรือเครื่องมือช่างปูน

14.โครงสร้างของเนื้อไม้

โครงสร้างของเนื้อไม้

ถ้าตัดไม้พวกไม้สัก หรือไม้สนมาท่อนหนึ่งมองดูหน้าตัด จะเห็นว่า ที่อยู่รอบๆ นอก ซึ่งสามารถแะให้หลุดล่อนออกไปได้โดยง่ายนั้น คือ ส่วนที่เรียกว่า เปลือก เปลือกส่วนนอกประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว แต่ตอนในๆ ยังมีชีวิต ทำหน้าที่สำคัญ คือ ลำเลียงอาหารที่ปรุงแล้ว จากใบลงมาหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของลำต้น ถัดจากเปลือกเข้าไป เป็นส่วนที่เรียกว่า ไม้ โดยทั่วๆ ไป เนื้อไม้ตอนนอกๆ จะมีสีจางกว่าตอนในๆ และมีไม้หลายชนิดที่ความเข้มจางเช่นว่านี้แบ่งกันชัดเจน ส่วนที่มีสีจางตอนนอกเรียกว่า กระพี้ ส่วนที่มีสีเข้มตอนใน เรียกว่า แก่นเนื้อไม้ มีหน้าที่ในการส่งน้ำ และแร่ธาตุจากพื้นดินขึ้นไปสู่ใบ กักตุนอาหาร หรือสารประกอบอื่นๆ และทำความแข็งแรงให้กับลำต้น เมื่อไม้ยังเป็นต้นเล็กๆ จะยังไม่มีแก่น เนื้อไม้ทั้งหมดต่างก็ช่วยกันทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ แต่ส่วนที่เป็นแก่นแล้วท่อน้ำถูกอุดตัน ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป ถ้าหากไม้ส่วนที่เป็นกระพี้ถูกตัดขาดโดยรอบลำต้น ซึ่งเรียกว่า กาน ไม้ต้นนั้นจะตาย สารที่แทรกอยู่ในไม้ส่วนที่เป็นกระพี้ ได้แก่ สารที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตของพืช คือ แป้ง น้ำตาล และโปรตีน ทำให้ไม้ส่วนนี้ขึ้นราได้ และมอดชอบกิน ส่วนแก่นนั้น กลับมีสารซึ่งให้โทษแก่ตัว การที่จะทำอันตรายต่างๆ จึงทำให้มีความทนทานมากกว่ากระพี้ สำหรับไม้ที่แก่นกับกระพี้แบ่งกันไม่ชัด อาจถือได้ว่าเป็นไม้ไม่มีแก่น และมักจัดเข้าไว้เป็นไม้ ที่เรียกว่า ไม้เนื้ออ่อน
ไม้สัก
ด้านตัดทั้งสามของไม้
ที่ใกล้ๆ ใจกลางของหน้าตัด จะมีจุดหยุ่นๆ อยู่จุดหนึ่ง เรียกว่า ใจ ใจนี้เกิดขึ้นมาแต่แรกเริ่มที่ไม้งอกงาม เพิ่มพูนขนาดออกไปทางความยาว หรือความสูงของลำต้น
ลักษณะเนื้อไม้ด้านสัมผัส ด้านรัศมีและด้านตัดขวางของไม้ใบแคบ
ลักษณะเนื้อไม้ด้านสัมผัส ด้านรัศมีและด้านตัดขวางของไม้ใบแคบ
อนึ่ง ระหว่างเปลือก และไม้ มีแนวเซลล์อยู่โดยรอบต้นแนวหนึ่ง เป็นเซลล์แม่ที่ทำหน้าที่แบ่งตัวออกเป็นไม้บ้าง เปลือกบ้าง การเจริญทางขวาง หรือทางส่วนโตของลำต้น ล้วนแต่เกิดจากการแบ่งตัวของแม่เซลล์ที่กล่าวนี้ การที่มีแนวแม่เซลล์ในลักษณะดังกล่าว ทำให้ไม้ใบแคบ หรือใบกว้างแตกต่างกับไม้พวกผักกูด หมาก หรือมะพร้าวอย่างชัดแจ้ง เพราะไม้พวกหลังนี้ไม่มีแม่เซลล์รอบๆ ลำต้น มีแต่ตอนยอด ซึ่งไม่อาจทำให้มีการพอกพูนทางส่วนโตได้
ลักษณะเนื้อไม้ด้านสัมผัส ด้านรัศมีและด้านตัดขวางของไม้ใบกว้าง
ลักษณะเนื้อไม้ด้านสัมผัส ด้านรัศมีและด้านตัดขวางของไม้ใบกว้าง
การที่ไม้ส่วนใหญ่ เกิดจากการแบ่งตัวของแม่เซลล์รอบๆ ลำต้นนี่เอง จึงทำให้หน้าตัดของซุงมีลักษณะเห็นได้เป็นวงๆ ล้อมรอบใจ ทั้งนี้จากความแตกต่างของเนี้อไม้ที่เกิดในตอนต้นกับที่เกิดในตอนปลายฤดู วงดังกล่าว เรียกว่า วงเจริญ หรือวงปี เพราะตามปกติไม้จะเกิดขึ้นปีละ ๑ วงเท่านั้น
เนื้อไม้และเปลือกไม้ซึ่งเห็นจากกล้องจุลทรรศน์
เนื้อไม้และเปลือกไม้ซึ่งเห็นจากกล้องจุลทรรศน์
ไม้ที่ตัดเป็นท่อนแล้ว มีสัณฐานเหมือนรูปทรงกระบอกหรือกรวยตัด การที่ไม้มีลักษณะเช่นนี้ ทำให้เราสามารถยืมคำ ที่เกี่ยวกับวงกลมมาใช้ได้ ๒ คำ คือ คำว่า "รัศมี" และ "สัมผัส" ใจไม้นั้นอาจเทียบได้กับ จุดศูนย์กลางของวงกลม แนวเส้นที่ลากจากใจหรือจุดศูนย์กลาง ไปสู่เปลือกหรือวงปีแต่ละวง เรียกว่า รัศมี ถ้าเราผ่าไม้ตามแนวยาวของลำต้น หรือผ่าตามเสี้ยนไปตามแนวนี้ จะได้ด้านที่เรียกว่า ด้านรัศมี การผ่าตามแนวยาวของลำต้นที่ตั้งฉากกับแนวรัศมี ได้ด้านที่เรียกว่า ด้านสัมผัส เพื่อใช้ร่วมกับ "ด้านรัศมี"และ "ด้านสัมผัส" เขากำหนดให้เรียกด้านที่เกิดจากการตัดทอนไม้ ได้แนวตั้งฉากกับลำต้นว่า "ด้านตัดขวาง"
การแบ่งเรียกด้านทั้งสามให้แตกต่างกันดังกล่าว ไม่เฉพาะเพื่อให้มีความถูกต้องตามหลักเรขาคณิตเท่านั้น รูปร่างลักษณะ และการเรียงตัวของเซลล์ต่างๆ ในเนื้อไม้ยังแตกต่างกันไปด้วย

กำเนิดและการพัฒนาของเซลล์ แม่เซลล์รูปกระสวยแบ่งตัวแล้วพัฒนาไปเป็นเซลล์ตามยาว ได้แก่ เซลล์ค้ำจุน เซลล์สะสมและเซลล์ลำเลียงส่วนแม่เซลล์รัศมีแบ่งตัวเป็นเซลล์รัศมีรูปต่าง ๆ ได้แก่ เซลล์นอนและเซลล์ตั้ง
ได้กล่าวมาแล้วว่า ไม้มีหน้าที่รับใช้ให้ลำต้นมีชีวิตอยู่ได้ ๓ ประการ คือ ลำเลียงน้ำ ค้ำจุนลำต้น และเก็บสะสมอาหารและวัตถุธาตุอย่างอื่น หน้าที่ดังกล่าวนี้ เซลล์ซึ่งมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกัน ๓ พวก แบ่งหน้าที่กันไปทำเซลล์ลำเลียง ปกติมีขนาดใหญ่ และผนังบาง เซลล์ค้ำจุนมีหัวแหลมท้ายแหลม ผนังหนา ความหนาบางของผนังเซลล์พวกนี้ มีส่วนสัมพันธ์กับน้ำหนักและความแข็งแรงของไม้ชนิดต่างๆ อยู่มาก และถือว่า เป็นเซลล์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการทำเยื่อกระดาษ ส่วนเซลล์สะสม มี ๒ แบบ คือ เซลล์รูปหัวแหลมท้ายแหลม เหมือนเซลล์ค้ำจุน แต่ผนังบาง และมักมีผนังแบ่งช่องเซลล์เป็นช่องๆ เรียงตัวไปตามแนวเดียวกับเซลล์ลำเลียง และเซลล์ค้ำจุนแบบหนึ่ง และที่ทอดไปตามแนวตั้งฉากกับลำต้น จากใจไปสู่เปลือก มีผนังบาง รูปสี่เหลี่ยมคล้ายอิฐเรียงเป็นชั้นๆ ต่อเนื่องกันไปอีกแบบหนึ่ง ไม้ใบแคบบางชนิด มีเซลล์ค้ำจุนตามแนวเดียวกันนี้ด้วย เซลล์ทุกชนิดที่เรียงตัวไปตามแนวยาวของต้นไม้ รวมเรียกว่า เซลล์ตามยาว ซึ่งบางทีก็เรียกว่า เสี้ยน และที่เรียงไปตามแนวรัศมี เรียกว่า เซลล์รัศมี 

ไม้ต่างชนิดกัน จะมีรูปร่างลักษณะ ขนาด และ การเรียงตัวของเซลล์พวกต่างๆ แตกต่างกันไป และ เป็นแบบเฉพาะตัว ทำให้สามารถรู้จักชนิดไม้ได้จากการดูเนื้อไม้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องได้เห็นต้น ใบ ดอก และผลก่อนเสมอไป นอกจากนั้น ลักษณะที่เห็นได้ง่ายๆ เช่น กระพี้ แก่น วงปี ตลอดจนสี กลิ่น รส มีส่วน ช่วยในการตรวจจำแนกชนิดไม้ได้มาก

13.เรื่องโครงสร้างเหล็ก

เรื่องโครงสร้างเหล็ก

เหล็กถูกนำมาใช้เป็นวัสดุสำหรับสิ่งปลูกสร้างมากกว่า  2  ศตวรรษแล้ว  โครงสร้างเหล็กแรกสุดที่ได้รับการบันทึกไว้คือ สะพานโค้งซึ่งมีช่วงเสายาว  30  เมตร  สร้างในอังกฤษเมื่อปี  1779  โดยใช้เหล็กหล่อจนถึงปลายศตวรรษ  1800  ชิ้นส่วนเหล็กจึงมีการผลิตเป็นอุตสาหกรรม  ทำให้การใช้โครงสร้างเหล็กเริ่มแพร่หลายในทวีปยุโรป  เริ่มจากเหล็กรูปพรรณหน้าตัดฉากซึ่งผลิตในปี  1819  และรูป  I   ในปี  1849  ในฝรั่งเศส  เมื่อมีการผลิตเหล็กรูปพรรณเป็นมาตรฐานเหล็กจึงได้รับความนิยมสำหรับงานก่อสร้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างสะพาน  ซึ่งต้องการอัตราส่วนของความแข็งแรงต่อน้ำหนักสูง  เพื่อให้มีช่วงกลางระหว่างเสาสามารถมีความยาวมากที่สุด  จนถึงในศตวรรษ  1900  เหล็กจึงได้รับความนิยมสำหรับการสร้างอาคารสูง  โดยเฉพาะในประเทศที่มีความเสี่ยงภัยเนื่องจากแผ่นดินไหวมาก  เช่น  สหรัฐอเมริกา  ญี่ปุ่น  เป็นต้น
สำหรับประเทศไทย  เหล็กเป็นที่นิยมสำหรับโครงสร้างโรงงานและคลังสินค้ามานานแล้ว  แต่เมื่อเร็วๆ  นี้เองสะพานข้ามทางแยกต่างๆ  ก็ได้อาศัยข้อได้เปรียบของโครงสร้างเหล็ก  คือ  การประกอบและติดตั้งที่รวดเร็ว  ทำให้สามารถก่อสร้างสะพานข้ามทางแยกเป็นจำนวนมากในกรุงเทพมหานคร  ภายในระยะเวลาอันสั้น  ส่วนการใช้โครงสร้างเหล็กสำหรับอาคารและบ้านพักอาศัยที่ผ่านมา  ยังมีปัญหาอยู่หลายประการ  ทำให้การพัฒนาโครงสร้างเหล็กทางด้านนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร  บทความนี้จะกล่าวถึงปัญหาต่างๆ  เหล่านี้  สถานการณ์ที่ดีขึ้นตลอดจนถึงแนวโน้มที่จะมีการใช้โครงสร้างเหล็กสำหรับอาคารประเภทต่างๆอย่างก้าวกระโดด  ในอนาคตอันใกล้นี้
2.  ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของโครงสร้างเหล็ก
ความสม่ำเสมอ
เหล็กเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติที่มีความสม่ำเสมอและมีความแน่นอนสูง  เพราะผลิตด้วยกรรมวิธีในอุตสาหกรรมที่มีระบบการควบคุมคุณภาพที่สมบูรณ์  โครงสร้างเหล็กจึงไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพของวัสดุ
น้ำหนัก
โครงสร้างเหล็กมีน้ำหนักเบาเมื่อเทียบกับโครงสร้างคอนกรีตสำหรับขนาดที่ใช้รับน้ำหนักที่เท่ากัน  ถ้าไม่คิดข้อจำกัดเรื่องBuckling  แล้ว  ชิ้นส่วนโครงสร้างสำหรับรับแรงอัด  เช่น  เสาคอนกรีตเสริมเหล็กจะต้องมีพื้นที่หน้าตัดประมาณ  17  เท่า   และมีน้ำหนักชิ้นส่วนประมาณ  5  เท่า  ของชิ้นส่วนโครงสร้างเหล็กเพื่อรับน้ำหนักที่เท่ากัน  ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติทางกลและน้ำหนักได้แสดงไว้ในตารางที่ 1
 ตารางที่ 1  คุณสมบัติเปรียบเทียบระหว่างเหล็กและคอนกรีต   
วัสดุ
ถ.พ.
กำลังดึง
t./sq.cm.
กำลังอัด
t./sq.cm.
ค่าโมดูลัส
t./sq.cm.
กำลังอัดต่อ
หน่วยน้ำหนัก
Mild Steel
7.85
3.5 - 5.0
3.5 - 5.0
2,100
3.5 / 7.85 = 0.45
Concrete
2.4
0 - 0.05
0 - 0.05
200
0.2 / 2.4 = 0.08
ทางเลือกของการออกแบบ
โครงสร้างเหล็กเสริมสามารถได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความสมดุล  ระหว่างกำลังของโครงสร้างกับความประหยัดในการใช้วัสดุโดยอาศัยการคัดเลือกรูปพรรณมาตรฐาน  หรือโดยการตัดประกอบจากแผ่นเหล็ก  ทางเลือกในการออกแบบโครงสร้างเหล็กจึงค่อนข้างจะหลากหลาย
ความเสี่ยงต่อการวิบัติโดยสิ้นเชิง
โครงสร้างเหล็กมีกำลังและความเหนียวหลังจุดคลากสูงกว่าโครงสร้างคอนกรีตมาก  ถ้าเกิดกรณีฉุกเฉินที่ทำให้มีการแบกน้ำหนักเกินกำลัง  แม้ชิ้นส่วนเหล็กจะเปลี่ยนรูป  แต่ก็ยังสามารถคงสภาพได้โดยไม่เกิดการวิบัติโดยฉับพลัน  เพราะคุณสมบัติด้านความเหนียว  (Ductility)  ต่างจากกรณีของโครงสร้างคอนกรีตซึ่งมีความเปราะมากกว่า  ถ้าเกิดการรับแรงเกินกำลังก็อาจเกิดการวิบัติได้โดยฉับพลัน  ดังนั้นจะเห็นว่า  Design Code  สำหรับรับแรงแผ่นดินไหวจะกำหนดให้โครงสร้างคอนกรีต จะต้องสามารถรับแรงในแนวราบมากกว่าในกรณีของโครงสร้างเหล็ก  ทำให้โครงสร้างคอนกรีตยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก  และในที่สุดฐานรากและจำนวนเข็มที่ใช้  ก็จะต้องมีขนาดและจำนวนสูงและกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้โครงสร้างคอนกรีตเสียเปรียบโดยเฉพาะในกรณีของบ้านเรา  ซึ่งราคาของระบบฐานรากนับว่าเป็นส่วนที่มีนัยสำคัญมาก
การก่อสร้าง / การติดตั้ง
ปัจจัยที่ทำให้โครงสร้างเหล็กได้เปรียบโครงสร้างคอนกรีตที่สำตัญมากคือ  ระยะเวลาการก่อสร้าง  เพราะโครงสร้างเหล็สามารถที่จะออกแบบเพื่อให้ตัดประกอบ  (Fabrication)  ในโรงงาน  แล้วยกไปติดตั้งที่หน้างานได้โดยวิธีการเชื่อมหรือขันชิ้นส่วนยึดได้  นอกจากการร่นเวลาแล้วค่าใช้จ่ายในการบริหารงานก่อสร้างก็จะลดลงด้วยเพราะมีภาระน้อยกว่าในการตรวจสอบและการควบคุมคุณภาพของวัสดุต่างๆ  ที่หน้างาน  รวมทั้งการประหยัดจากการสูญเสียต่างๆ  รวมทั้งการต้องใช้ไม้แบบด้วย
การมีมาตรฐานที่ดีในการออกแบบโดยกำหนดให้ชิ้นส่วนเหล็กต่างๆ  มีขนาดที่เหมาะสม  ทำให้การตัดประกอบในโรงงานทำได้ด้วยความละเอียดเป็นระบบ  และโดยรวดเร็วเหมือนหนึ่งการผลิตสินค้าในโรงงาน  ทำให้มีการสูญเสียสิ้นเปลือง น้อยมาก  ในประเด็นนี้  ทำให้อุตสาหกรรมอาคารโครงสร้างเหล็กประกอบสำเร็จรูป  ที่เรียกในหลายประเทศว่า  System Buildings  กำลังได้รับความนิยมมาก  เป็นระบบที่ทุกชิ้นส่วนได้รับการออกแบบมาเป็น  Single Package  การติดตั้งจะใช้ เวลาน้อยมาก  จึงเหมาะสำหรับโครงสร้างโรงงานหรือโกดังสำเร็จรูป
การรื้อถอน
ข้อได้เปรียบข้อนี้ของโครงสร้างเหล็กค่อนข้างเด่นชัด  โครงสร้างเหล็กสามารถรื้อถอนได้โดยง่าย  นอกจากนี้เศษเหล็กก็ยังขายหรือนำไปใช้ต่อไปได้อีกด้วย  ต่างจากกรณีโครงสร้างคอนกรีต  ซึ่งนอกจากรื้อถอนยาก  เศษปูนก็เป็นปัญหาในการนำไปทิ้ง  นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระหว่างการรื้อถอนด้วย
ความทนทานต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อเสียเปรียบของโครงสร้างเหล็ก  คือ  ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาโครงสร้างเหล็ก  ซึ่งมีอยู่  2  ประการ  คือ  การป้องกันไฟ  (Fire Protection)  และการป้องกันการกัดกร่อน  (Corrosion Control)  อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดู แลรักษาโครงสร้างเหล็ก  คือ  การจัดให้มีกำหนดเวลาในการตรวจตราและซ่อมแซมอย่างสม่ำเสมอในลักษณะของ  PreventiveMaintenance
3.  สภาวะการใช้โครงสร้างเหล็กในประเทศไทย
ในประเทศไทย  มีการนำเข้าเหล็กรูปพรรณจากประเทศผู้ผลิตนานแล้ว  โครงสร้างเหล็กที่ได้รับความนิยมมาก  คือโครงสร้างประเภทโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า  เพราะโครงสร้างประเภทนี้ต้องการช่วงระหว่างเสาที่กว้าง  เหล็กจึงเป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด  ทั้งยังสร้างได้เร็ว  และถ้าต้องการขยับขยายเปลี่ยนแปลง  หรือรื้อถอนก็ทำได้
สำหรับโครงสร้างอื่นๆ  หลังจากที่บริษัทผู้รับเหมารายใหญ่ในประเทศไทยได้ประสบการณ์ในการประกอบและติดตั้งโครงสร้างเหล็กของสะพานขึงพระรามที่เก้า  ก็มีการนำประสบการณ์นี้มาใช้กับอุตสาหกรรมก่อสร้างอื่นๆ  ที่สำคัญคือ  สะพานข้ามทางแยกต่างๆ  ของกรุงเทพมหานคร  ซึ้งต้องการความรวดเร็วในการติดตั้งเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการจราจร
ในอนาคตต้องมีการสร้างสะพานแม่น้ำเจ้าพระยาอีกหลายแห่ง  โครงสร้างเหล็กมีความเหมาะสมมากสำหรับสะพานข้ามแม่น้ำที่ต้องการช่วงเสายาวมากๆ  รูปแบบของโครงสร้างสะพานขึ้นอยู่กับความยาวของช่วงเสา  สะพานเหล็กประเภท  PlateGirder  มักใช้สำหรับช่วงสะพานไม่เกิน  200  เมตร  ถ้ายาวกว่านั้นจนถึง  300  เมตร  สะพานเหล็กที่เหมาะสมจะเป็นสะพานระบบ  โครง  Truss  หรือสะพานโค้ง (Arch Bridges)  ส่วนสะพานขึง (Cable - Stayed Bridges)  ที่ใช้โครงสร้างเหล็กจะสามารถรับช่วงกลางได้ยาวถึง  400  เมตร  และสะพานแขวน  (Suspension Bridges)  สามารถขยายช่วงกลาง ออกไปถึง  1,000  เมตรได้
ปัญหาหลักๆ  ของสะพานโค้งสร้างเหล็กสำหรับสะพานซึ่งมีการสั่นสะเทือนและต้องตากแดดตากฝนอยู่ตลอดเวลาคือ  การต้องดูแลรักษาโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการสึกกร่อนเนื่องจากสนิม  โดยเฉพาะบริเวณจุดต่อของชิ้นส่วนเหล็กต่างๆ  เมื่อเร็วๆ  นี้ปรากฏเป็นข่าวใหญ่โตว่าโครงสร้างเหล็กเฉพาะช่วงกลางยาว  48  เมตร  ของสะพานซองซู  (Songsu Brildges)  ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำฮานในกลางกรุงโซล  ประเทศเกาหลี  เกิดหลุดจากตัวสะพานและตกไปในแม่น้ำ  ทำให้มี ผู้เสียชีวิตถึง  32  คน  สาเหตุเพราะการขาดการดูแลรักษาที่ดี  และเพราะต้องแบกน้ำหนักรถบรรทุกที่เกินพิกัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เดือยเหล็กที่ยึดรอยต่อเกิดการล้า  และขาดไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีการใช้งานอย่างถูกต้องและมีการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอตามหลักวิชาการ  โครงสร้างเหล็กนับว่าจะมีความเหมาะสมกับสะพาน  โดยเฉพาะสะพานขนาดย่อม  เช่น  สะพานข้ามทางแยก  ที่สร้างเพื่อพยายามแก้ปัญหาการจราจรอันเป็นปัญหาระดับชาติอยู่ในปัจจุบันนี้
มีแนวโน้มว่าโครงการระบบขนส่งมวลชนหลายโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น  อาจต้องใช้โครงสร้างเหล็กหลายโครงการโดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงผลประโยชน์ด้านความรวดเร็วในการประกอบและติดตั้งตลอดจนเรื่องการขนส่งชิ้นส่วนซึ่งประกอบจากโรงงาน
4.  ปัญหาที่โครงสร้างเหล็กที่ไม่ได้รับความนิยมสำหรับอาคารและบ้านที่อยู่อาศัย
ยกเว้นกรณีที่ประโยชน์ของเหล็กเป็นที่เด่นชัด  เช่น  กรณีโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารคลังสินค้า  ดูเหมือนว่าโครงสร้างเหล็กมักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับโครงสร้างอาคารต่างๆ  สาเหตุใหญ่ๆ มีดังนี้
(1)  ความไม่แน่นอนของอุปทานเนื่องจากไม่มีโรงงานผลิตเหล็กรูปพรรณ  หรือเหล็กแผ่นภายในประเทศ  ผลิตภัณฑ์เหล็กเหล่านี้  ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหลักสำหรับโครงสร้างเหล็ก  ล้วนแต่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น  ความไม่พร้อมเหล่านี้สร้างความไม่มั่นใจแก่เจ้าของอาคารและผู้ออกแบบ  ในปัญหาด้านการขาดตลาดของสินค้านำเข้าเหล่านี้โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องการสร้างให้เสร็จภายในเวลาจำกัดมี
(2)  การขาดผู้ชำนาญการด้านการตัดประกอบชิ้นส่วนจากโรงงาน (Fabrication) ความสำเร็จของโครงสร้างเหล็ก  ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความชำนาญการของโรงงานประกอบชิ้นส่วนเหล็ก  ซึ่งต้องการความละเอียดในขนาดของชิ้นส่วนและตำแหน่งของรอยต่อเชื่อมหรือรูสำหรับขันยึด  มิฉะนั้นการนำไปติดตั้งที่หน้างานก็จะมีปัญหาใน ปัจจุบันความชำนาญการด้านนี้ได้มีเพิ่มมากขึ้นในประเทศตั้งแต่มีการสร้างสะพานขึ้นพระรามที่เก้า  ตามด้วยสะพานข้ามทาง แยกอีกเป็นจำนวนมาก
(3)  ขาดผู้มีประสบการณ์อย่างแท้จริงทั้งผู้ออกแบบและผู้รับเหมาข้อได้เปรียบต่างๆ  ของโครงสร้างคอนกรีตในอดีตทำให้สถาปนิก  วิศวกร  ตลอดจนช่างรับเหมาและระดับคนงานภายในประเทศมีประสบการณ์ด้านโครงสร้างคอนกรีตเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะอาคารสูง  ผู้ออกแบบโดยเฉพาะสถาปนิก  ซึ่งโดยทางปฏิบัติมักเป็นผู้กำหนดวัสดุที่ใช้  จึงมักเลือกที่จะใช้โครงสร้างคอนกรีตซึ่งตนเองมีความคุ้นเคยกว่า  นอกเสียแต่จะไม่มีทางเลือกอื่น  หรือได้รับข้อแนะนำที่หนักแน่นมากๆ  จากวิศวกรโครงสร้างเท่านั้น
(4)  ขาดการคิดในการสร้างสรรค์
ในช่วงที่สถาปนิกและวิศวกรมีงานล้นมือ  การออกแบบทำไปด้วยความเร่งรีบ  เพื่อแข่งกับเวลาที่จำกัด  การออกแบบด้านวิศวกรรม  ก็มักทำโดยการจำลองโครงสร้างที่ง่ายที่สุด  การขาดบุคลากรที่มีคุณภาพ  ตลอดจนความรู้และเวลาในการวิเคราะห์โครงสร้างที่ละเอียดพอ  ทำให้ผู้ออกแบบไม่มีปัญหาที่จะพิจารณาทางเลือกต่างๆ  ให้ได้ประโยชน์แก่ลูกค้ามากที่สุดการที่ผู้ออกแบบส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ไปตามกระแส  โดยไม่ได้ทุ่มเทเวลาให้กับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ  (Creativity)  เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาโครงสร้างเหล็กสำหรับอาคารสูงในบ้านเรา  เป็นไปด้วยความล่าช้า  บ่อยครั้งวิศวกรมักไม่มีเวลาหรือไม่ได้ให้ความสนใจในการเปรียบเทียบข้อได้เปรียบเสียเปรียบ  ระหว่างโครงสร้างเหล็กกับโครงสร้างคอนกรีตอย่างจริงจังและให้เป็นรูปธรรม  นอกจากการใช้ความรู้สึกเท่านั้น
5.  แนวโน้มอาคารโครงสร้างเหล็ก
ในที่นี้จะไม่พูดถึงอาคารโรงงาน  และคลังสินค้า  ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารที่ใช้โครงสร้างเหล็กมากอยู่แล้วในปัจจุบัน  แต่จะพูดถึงแนวโน้มของตลาดใหม่ของโครงสร้างเหล็ก  โดยได้พิจารณาถึงปัจจัยของการมีโรงงานผลิตเหล็กรูปพรรณและเหล็กแผ่นภายในประเทศแล้ว
5.1  อาคารสูงประเภทใช้เป็นสำนักงานในปัจจุบันเริ่มมีการก่อสร้างอาคารสำนักงานโดยใช้โครงสร้างเหล็กหลายอาคารแล้ว  แนวโน้มค่อนข้างจะออกมาชัดเจนว่าจำนวนโครงสร้างเหล็กสำหรับอาคารสูงประเภทใช้เป็นสำนักงานจะต้องเพิ่มขึ้น  ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
(1)  ระยะเวลาการก่อสร้าง อาคารสำนักงานเป็นการลงทุนโดยคำนึงถึงผลเชิงธุรกิจ  เป็นการลงทุนที่ใช้เงินทุนมาก  แต่กว่าจะเริ่มได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่ออาคารสร้างแล้วเสร็จ  ระยะเวลาการก่อสร้างที่สั้น  หมายถึงการหาผลตอบแทนจากการใช้อาคารสามารถทำได้เร็วขึ้น  ความรวดเร็วในการก่อสร้าง  ได้จากการที่ชิ้นส่วนต่างๆ  ของโครงสร้างสามารถตัดประกอบได้ในโรงงาน  ซึ่งสามารถเริ่มทำได้ทันที  ขนานกับการตอกเสาเข็มและการก่อสร้างฐานราก  เมื่อฐานรากเสร็จแล้ว  การก่อสร้างคือ  การติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆ  โดยการเชื่อมหรือการขันยึด  และลงท้ายด้วยการห่อหุ้มด้วยสารกันสนิม  และกันอัคคีภัย  การตัดประกอบจาก โรงงานที่มีการวางแผนควบคุมอย่างดี  ทำให้ปัญหาที่หน้างานมีน้อยกว่ากรณีโครงสร้างคอนกรีตมากงานจึงเดินหน้าไปได้ตาม   เป้าหมาย  ด้วยคุณภาพที่ดี  ภายในเวลาอันสั้น(2)  ปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม  การก่อสร้างอาคารสำนักงานมักมีทำเลอยู่ในใจกลางเมือง  หรือบริเวณที่มีสาธารณูปโภคพร้อมคือ  เป็นบริเวณที่มีการใช้ประโยชน์ค่อนข้างหนาแน่น  บ่อยครั้งที่ผลกระทบต่อบริเวณใกล้เคียงมักเกิดจากการลำเลียง วัสดุปูน ทรายหิน  อุบัติเหตุจากวัสดุก่อสร้างตกหล่นในบริเวณใกล้เคียง  หรือเกิดจากมลพิษทางฝุ่นและเสียง  ล้วนเป็นปัญหาที่อาจก่อให้เกิดการชะงักงัน  ปัญหาเหล่านี้จะลดน้อยลงมากถ้าเป็นโครงสร้างเหล็ก(3)  ปัญหาการรับน้ำหนักของระบบฐานราก  แม้เหล็กจะมีความถ่วงจำเพาะมากกว่าวัสดุคอนกรีตถึงประมาณ  3  เท่าเหล็กสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากับคอนกรีตด้วยน้ำหนักเพียง  1  ใน  6  และพื้นที่หน้าตัดเพียง  1  ใน  20  เท่านั้น  เมื่อรวมน้ำหนักของทั้งอาคารที่ฐานรากจะต้องรับ  จะทำให้จำนวนเสาเข็มน้อยลงมากประโยชน์ข้อนี้มีนัยสำคัญมากสำหรับประเทศที่มีปัญหาของดินอ่อน  ทำให้สามารถลดจำนวนเงินที่ต้องจมอยู่กับใต้ดินเป็นจำนวนมากในบางบริเวณที่มีปัญหาของดินใต้อาคาร  โครงสร้างเหล็กอาจเหลือเป็นทางเลือกเดียวที่จะสร้างอาคารสูงขนาดหนึ่งได้  นอกจากนี้ยังลดปัญหาเรื่องการทรุดตัวระยะยาวเนื่องจาก  Consolidation  อีกด้วย(4)  ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้น  ที่ผ่านมาโครงสร้างเหล็กในประเทศไทย  ยังประสบปัญหาในราคาที่ไม่แน่นอน  เพราะเป็นวัสดุที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและระยะเวลาซึ่งขึ้นกับความชำนาญการของโรงงานประกอบชิ้นส่วนในอนาคตเมื่อมีการผลิตเหล็กรูปพรรณและเหล็กแผ่นภายในประเทศแล้ว  ความสามารถในการแข่งขันของโครงสร้างเหล็กกับโครงสร้างคอนกรีตในด้านราคาย่อมจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
5.2  ระบบบ้านสำเร็จรูป  (Prefabricated Houses)
ความต้องการบ้านอยู่อาศัยภายในประเทศเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี  เพราะชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี  เพราะชนชั้นกลางที่เพิ่ม ขึ้น  ตลอดจนแนวโน้มของการแยกครอบครัวเป็นเอกเทศจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  บ้านสำเร็จรูปกำลังอยู่ในแนวโน้มที่ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ  โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารต้องการขจัดปัญหาของการควบคุมคุณภาพบ้าน  ซึ่งมักจะสร้างโดยผู้รับเหมาย่อยหลายๆ ราย  โดยขาดมาตรฐานที่แน่นอน  การที่สามารถผลิตชิ้นส่วนต่างๆ  ของโครงสร้างบ้านในโรงงานทำให้การ ควบคุมคุณภาพทำได้โดยสม่ำเสมอเหมือนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม  ปัญหาที่ยังเป็นอุปสรรคในปัจจุบันคือ  การขาดมาตรฐานอุตสาหกรรมของส่วนต่างๆ  ของบ้าน  เช่น  ขนาดของห้อง  ขนาดของกรอบประตู  หน้าต่าง  ขนาดของลูกบันได  ความสูงของเพดาน  ความลาดชันของจั่วหลังคา  เป็นต้น  การขาดเอกภาพในมาตรฐานเหล่านี้ที่จะใช้เหมือนกันทั่วประเทศ  ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนบ้านสำเร็จรูปมีปัญหามาก  ไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก  Economy of Scale  ได้
ในปัจจุบันบ้านสำเร็จรูปส่วนใหญ่มักประกอบจากชิ้นส่วนที่เป็นผลิตภัณฑ์ของคอนกรีต  แบ่งเป็นประเภทโครงดัด  (Frame)  และประเภทผนังรับแรงกด  (ฺBearing Wall)  เนื่องจากขนาดและน้ำหนักที่มาก  การขนถ่ายในกรุงเทพฯ  กลายเป็นปัญหาใหญ่  การประกอบชิ้นส่วนจึงมักทำภายในบริเวณโครงการ  การผลิตจึงยังไม่สามารถทำในรูปแบบของการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมได้
โครงสร้างเหล็กสำหรับบ้านสำเร็จรูป  น่าจะเป็นแนวโน้มที่แจ่มใสในอนาคตด้วยเหตุผล  ดังนี้
(1)  ความหนาแน่น  วัสดุเหล็กเองก็เป็นผลผลิตจากขบวนการอุตสาหกรรม  มีคุณภาพที่แน่นอนและมีความละเอียดในมิติต่างๆ สูง(2)  การขนส่ง  เหล็กมีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ  ชิ้นส่วนโครงสร้างเหล็กสำหรับบ้านสำเร็จรูปจึงสามารถมีน้ำหนักเบาได้  ส่วนขนาดถ้าจำเป็นสามารถทอนเป็นส่วนเพื่อประกอบที่หน้างานได้  การขนส่งชิ้นส่วนเหล็กสำหรับบ้านสำเร็จจึงมีปัญหาน้อยกว่าบ้านสำเร็จรูปคอนกรีตมาก  การผลิตจึงสามารถผลิตจากโรงงานจริงๆ  ทำให้การควบคุมคุณภาพทำได้ตามมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป(3)  การติดตั้ง  การควบคุมมิติต่างๆ  ของชิ้นส่วนโครงสร้างเหล็ก  ทำได้ละเอียดกว่าชิ้นส่วนคอนกรีต  ทำให้การติดตั้งที่หน้างานทำได้โดยง่าย  ไม่ต้องอาศัยการแก้ปัญหาที่หน้างาน  ถ้ามีการสร้างระบบที่ดี  บ้านแต่ละหลังสามารถทำเป็น  SinglePackage  เหมือนระบบ  Knock - Down  การติดตั้งจึงไม่ต้องการความชำนาญงานของคนงานเหมือนกับกรณีโครงสร้างคอนกรีต  เพราะความละเอียดของมิติต่างๆ  จะเป็นตัวบังคับให้การติดตั้งไม่มีโอกาสผิดพลาดได้
5.3  อาคารอพาร์ตเมนต์ขนาดย่อม
ตลาดใหม่สำหรับโครงสร้างเหล็ก  คือ  ประเภทอาคารสูงไม่เกิน  7  ชั้น  (ความสูงที่จัดอยู่นอกข่าย  "อาคารสูง"  ตามกฎหมาย)  ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสำหรับใช้เป็นอพาร์ตเมนต์ทำเลของอาคารประเภทนี้มักอยู่ในซอย  ซึ่งทำให้การก่อสร้างด้วยวิธีปกติก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่เพื่อบ้านได้  โครงสร้างเหล็กจึงเป็นทางเลือกหนึ่ง  ซึ่งจะทำให้ร่นเวลาในการก่อสร้าง  และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยส่วนรวม
6.  การสนับสนุนของรัฐบาล
การพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทย  ได้ปรากฏอย่างเด่นชัด  ภายหลังที่รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนในอุตสาหกรรมประเภทนี้  อุตสาหกรรมเหล็กที่รัฐมีนโยบายสนับสนุนเป็นรูปธรรมแล้ว  คือ  อุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดซ้อน  และอุตสาหกรรมแผ่นรีดเย็น  โดยให้การคุ้มครองเป็นระยะเวลา  10  ปี  ตั้งแต่ปี  2532  แต่เพราะอุปทานที่เกิดจริงมีมากกว่าที่เคยประมาณการไว้มาก  คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในวันที่  11  พฤศจิกายน  2537  เพิ่งมีมติยอมให้เปิดเสรีคือ  เปิดให้มีการส่งเสริมกิจการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนและรีดเย็นได้มากกว่า  1  ราย  ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นเหล่านี้คือชิ้นส่วนสำคัญที่นำมาประกอบเป็นหน้าตัดประกอบ  (Built - up Sections)  ซึ่งใช้ในการประกอบเป็นโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่สำหรับเหล็กรูปพรรณ  (Structural Steel  บางแห่งแปลทับว่าเหล็กโครงสร้าง)  สามารถทำได้โดยการนำเหล็กแท่งขนาดใหญ่  (Bloom)  มารีดขึ้นรูป  โรงงานผลิตเหล็กรูปพรรณแห่งแรกที่ใช้วิธีนี้ได้ก่อตั้งแล้วเมื่อปี  2535  โดยจะมีกำลังผลิตปีละ600,000  ตัน  จึงจะสามารถทดแทนการนำเข้าได้เกือบทั้งหมด  ส่วนอีกขบวนการหนึ่งในการทำเหล็กรูปพรรณ   ได้แก่  การนำผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนมาเป็นวัตถุดิบเพื่อขึ้นรูปโดยการเชื่อมเป็นหน้าตัดมาตรฐาน  หรือหน้าตัดประกอบต่อไป
7.  บทสรุป
ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ  ที่ทำให้โครงสร้างเหล็กไม่สามารถแข่งขันกับโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก  โดยเฉพาะในกรณีของอาคาร  กำลังจะได้รับการแก้ไข  โดยเฉพาะด้านอุปทาน  ความนิยมในโครงสร้างเหล็กจึงเป็นแนวโน้มที่ค่อนข้างสดใส  เพราะประโยชน์ของโครงสร้างเหล็กในเชิงธุรกิจเอง  และการให้ความสำคัญของทุกฝ่ายในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากปัญหาการก่อสร้าง

12.วิธีการทำเฟอร์นิเจอร์ที่ดี

วิธีการทำเฟอร์นิเจอร์ที่ดี 

การออกแบบที่ดีในการเฟอร์นิเจอร์เป็นหลายสิ่งหลายอย่าง: 
A. แดงเข้าร่วมข้อต่อด้านบนและด้านข้างทำให้ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ 
B. ไม้วิจิตรเช่นนี้ของแข็งเสื้อผ้าลิ้นชักไม้สัก 
การก่อสร้างลิ้นชัก C. ดีเยี่ยมด้วยการปิดภาคเรียนในลิ้นชักด้านข้าง 
D. ฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมที่แสดงโดยจับมือทำจากไม้แกะสลักประดับเฉพาะบนหน้าอก 



อาคารเฟอร์นิเจอร์ 
ความลับของความสำเร็จในการสร้างเฟอร์นิเจอร์ที่ดีคือการทำตามขั้นตอนเช่นที่ระบุไว้ด้านล่าง 
คำแนะนำทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อความสมบูรณ์ของแต่ละขั้นตอนจะพบได้ในเว็บไซต์นี้ 
ในขณะที่ไม่ทุกชิ้นของเฟอร์นิเจอร์จะสร้างในลักษณะเดียวกันคุณสามารถบรรลุผลที่ดีโดย 
ทำตามขั้นตอนเหล่านี้: 

1 เลือกการออกแบบที่ดีที่เหมาะกับความต้องการของคุณ 
เป็นเสมอดีที่สุดในการเลือกสิ่งที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ 
ความสามารถในการจำของคุณอย่างไรและไม่ได้เริ่มต้นจากการทำหน้าอก 
ลิ้นชักตัวอย่างเช่นถ้าคุณอยู่ในโคมไฟหรือถาด (เริ่มต้น) "เวที." มะเดื่อ 1-1 


1-1 ตารางขั้นตอนที่แสดงถึงความมีประโยชน์เช่นเดียวกับความงาม 
บนมาตรการ 18 "x 30" และสูงกว่าทั้งหมดคือ 24 ". อนุเคราะห์จาก บริษัท เฟอร์นิเจอร์ widdicome 


Built-in ตู้ที่ทำจากไม้อัดไม้มะฮอกกานี 
โครงการที่ท้าทายสำหรับการสร้างมือสมัครเล่น 
รูปแบบการออกแบบหมายเหตุของประตู